ลักษณะเชิงเศรษฐกิจที่มีผลต่อกลยุทธ์
1.ขนาดของตลาด (Market size) - ตลาดขนาดเล็กจะไม่จูงใจคู่แข่งขันรายใหญ่ หรือรายใหม่ ส่วนตลาดขนาดใหญ่จะดึงความสนใจของคู่แข่งขันให้เข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรม
2.อัตราความเจริญเติบโตของตลาด (Market growth rate) - ความเจริญเติมโตของตลาดที่รวดเร็ว จะจูงใจให้คู่แข่งขันเข้าสู่ตลาดใหม่ ความเจริญเติมโตที่ล่าช้าจะไม่จูงใจให้คูแข่งขันเข้าสู่ตลาด
3.สมรรถภาพส่วนเกินหรือความขาดแคลน (Capacity surpluses or shortage) - สมรรถภาพส่วนเกินจะดึงราคาและกำไรให้ลดลง ส่วนความขาดแคลนจะดึงราคาและกำไรให้สูงขึ้น
4.ความสามารถในการสร้างกำไรของอุตสาหกรรม (Industry profitability) - อุตสาหกรรมที่มีกำไรสูง จะจูงใจคู่แข่งขันใหม่ให้เข้าสู่ตลาด อุตสาหกรรมที่ตกต่ำจะทำให้คู่แข่งขันออกจากตลาด
5.อุปสรรคการเข้า/ออก (Entry/exit) barriers) - อุปสรรคระดับสูงจะป้องกันตำแหน่งและกำไรของธุรกิจที่ทำอยู่ อุปสรรคระดับต่ำจะทำให้คู่แข่งขันเข้าสู่ตลาดได้ง่าย
6.ผลิตภัณฑ์เป็นรายการที่ยิ่งใหญ่สำหรับผุ้ซื้้อ (Product is a big-ticket item for buyers) - ผู้ซื้อส่วนมากจะซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีระดับราคาต่ำที่สุด
7.ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน (Standardized products) - ผู้ซื้อจะมีอำนาจมากขื้น เนื่องจากจะเป็นการง่ายที่ผู้ซื้อจะเปลื่ยนการซื้อจากผู้ขายรายหนึ่งไปยังอีกรายหนึ่ง
8.การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว (Rapid technological change) - ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจาก การลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวก หรืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยีแบบเก่าจะเปลี่ยนเป็นความล้าสมัย
9.ความต้องการเงินลงทุน (Capital requirements) - เงินทุนก้อนใหญ่ ต้องการการตัดสินใจในการลงทุนที่สำคัญ ต้องใช้ระยะเวลาซื่งเป็นอุปสรรคในการจะเข้าและออกจากธุรกิจ
10.การผสมผสานในแนวดิ่ง (Vertical integtaion) - จะเพิ่มความต้องการเงินทุน ซึ่่งสามารถสร้างความแตกต่างทางการแข่งขัน และความแตกต่างด้านต้นทุน
11.ความประหยัดจากขนาดการผลิต (Economies of scale) - จะเพิ่มยอดขายและส่วนครองตลาด เนื่องจากข้อได้เปรียบด้านต้นทุน
12.นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ที่รวดเร็ว (Rapid product innovation) - ทำให้วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์สั้น และเป็นการเพิ่มความเสี่ยง เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
สภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจระดับโลกมีการแข่งขันและมีการพึ่งพาอาศัยระหว่างกัน จึงจำเป็นต้องอาศัยทัศนะการจักการเชิงกลยุทธ์ใหม่ การรวมตัวกันของยุโรป ในปี 1992 ทำให้เกิดการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่น ในปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอำนาจทางการเงินสูงสุด
การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจที่สำคัญเกิดขึ้นในเม็กซิโก บราซิล ตะวันออกกลาง รัสเซีย จีน และเยอรมณี ลักษณะการเปลี่ยนแปลงหลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมภายใน โดยใช้ความพยายามที่จะสร้างความมั่งคั่ง การพิจารณาเหตุการณ์ภายในประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสังคมปัจจุบันและวิวัฒนาการด้านเศรษฐกิจในยุโรปตะวันออก ตัวอย่าง ธุรกิจสหรัฐอเมริกาจะต้องมีกลยุทธ์เพื่อครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ความสามารถของธุรกิจสหรัฐที่ทำการค้ากับประเทศเหล่านี้มีขอบเขตจำกัด เพราะว่าการค้ากับประเทศเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลดอัตราแลกเปลี่ยนสภาพคล่อง ซึ่งไม่มีค่านิยมภายนอกขอบเขต ดังนั้นส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านี้ขาดโครงสร้างที่จะให้การสนับสนุนความประหยัดในตลาด ปัจจัยเหล่านี้จะกำหนดลูกค้าที่ศักยภาพและแหล่งวัตถุดิบของสหรัฐอเมริการ จึงมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในการค้าต่างประเทศ
การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจเกิดจากการบริหารประเทศของคณะรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการใช้นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง การใช้งบประมาณขาดดุลเหล่านี้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายมากเกินไปนในระบบเศรฐกิจ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ นโยบายการเงินของรัฐอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดการว่างงาน ตัวอย่าง ในช่วงกลางปี 2539 รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาจะต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยงแปลงของภาวะเศรษฐกิจ ตัวอย่าง การเปลี่ยนแปลงในโปรแกรมการกระจายธุรกิจ นโยบายการผลิต การเงิน การตลาด เป็นต้น
การเป็นธุรกิจระดับโลกเป็นสิ่งที่ยากลำบาก ปัญหาที่ธุรกิจจะต้องเผชิญในการเพิ่มอิสระให้กับต่างประเทศ ประกอบด้วย ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ความแตกต่างด้ายความต้องการของผู้บริโภค ระบบภาษี การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน อุปสรรคด้านภาษี อุปสรรคทางการค้า ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายจะมีปัญหาเดือนร้อนจากการจัดการที่มีจำกัด และการขาดโครงสร้างสาธารณูปโภค ความลำบากเหล่านี้จะนำไปสู่ธุรกิจที่จะพัฒนาประเทศ
ลักษณะเชิงเศรษฐกิจที่มีผลต่อกลยุทธ์
0 ความคิดเห็น Filed Under: | Continue>>>
สัญญาณของจุดอ่อนทางการแข่งขัน
สัญญาณของจุดอ่อนทางการแข่งขัน (Sings of competitive weakness)
ประกอบด้วย
1.เผชิญกับข้อเสียเปรียบทางการแข่งขัน
2.สูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งขัน
3.ความเจริญเติบโตของรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
4.ขาดแคลนทรัพยากรทางการเงิน
5.ชื่อเสียงบริษัท(ผลิตภัณฑ์) ไม่ดีในสายตาลูกค้า
6.ไม่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และความสามารถในนวัตกรรมด้ายผลิตภัฒฑ์
7.กลยุทธ์ต่าง ๆ ใชัไม่ได้ผล
8.มีปัญหาในพื้นที่ที่เป็นตลาดส่วนใหญ่ที่มีศักยภาพ
9.ผู้ผลิตใชัต้นทุนในการผลิตสูง
10.ธุรกิจขนาดเล็กเกินไปที่จะเป็นปัจจัยที่สำคัญในตลาด
11.ไม่อยู่ในตำแหน่งเหมาะสมที่จะขจัดอุปสรรค์ที่เกิดขึ้น
12.ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ
13.ขาดทักษะด้านทรัพยากรและความสามารถทางการแข่งขันในเขตพื้นที่สำคัญ
14.ความสามารถในการจัดจำหน่ายอ่อนแอกว่าคู่แข่ง
เครือข่ายการสร้างคุณค่า (Value chain analysis) เป็นโครงสร้างงานที่มีประโยชน์ในการกำหนดจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างมีระบบ เพื่อฉวยโอกาสและกำจัดอุปสรรคในสภาพแวดล้อมภายนอก ผู้บริหารต้องวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนภายใจธุรกิจอย่างระมัดระวังในการวิเคราะห์ะเครื่อข่ายการสร้างคุณค่า สมมุติว่าธุรกิจมีจุดมุ่งหมายด้านเศรฐกิจพื้นฐานของธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่า (Value) ซึ่งวัดโดยรายได้รวมของธุรกิจ การวิเคราะห์เครือข่ายคุณค่า (Value chain analysis) ผู้บริหารจะต้องแบ่งกิจกรรมของธุรกิจออกเป็นกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างคุณค่าเพื่อประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรมที่จำเป็นเพื่อการออกแบบ การผลิต การหาตลาด การส่งมอบ และการให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ แต่ละกิจกรรมจะสามารถสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการ สนับสนุนผลิตภัณฑ์แต่ละกิจกรรม จะสามารถสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการแต่ละกิจกรรมเป็นแหล่งของการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจ
ซึ่งเครือข่ายการสร้างคุณค่าสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.กิจกรรมพื้นฐาน
2.กิจกรรมสนับสนุน
0 ความคิดเห็น Filed Under: | Continue>>>
บทความที่ได้รับความนิยม
-
Knowles (1975, pp. 14-17) กล่าวถึง การเรียนรู้ด้วยตนเองว่ามีความสำคัญ 4 ประการ คือ 1. บุคคลที่เรียนรู้ด้วยการริเริ่มของตนจะเรียนได...
-
ข้อมูลบริษัท บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนการค้าระหว่าง ฮอนด้ามอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น กับบริษัท พี ไทยแลนด์ จำกัด ดำเนินธุรกิจ...
-
สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงมีความสำคัญมากในการกำหนดกลยุทธ์ด้วยเหตุผล 4 ประการคือ ประการแรก สภาพแวดล้อมเป็นทั...
-
การวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์กร (SWOT) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์กรทางการศึกษา เพื่อศึกษาแนวโน้มการพัฒนาการศึกษา...
-
1. องค์กรแบบปฐม (Primary Organization) เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยสมาชิอกขององค์กรมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันดี และรูปแบบของความสัมพั...